วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เมืองบาแรม * เสน่ห์แห่งเมืองเล็กๆ ณ อังกฤษ



เดอแรม (อังกฤษ: Durham) เป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ อยู่ห่างจากเมืองนิวคาสเซิล-อพอน-ไทน์ลงมาทางใต้ประมาณ 25 กม. ตั้งอยู่บนแม่น้ำเวียร์ (River Wear) ซึ่งไหลล้อมรอบเมืองทั้งสามด้าน



เดอแรมเป็นที่รู้จักกันดีจากมหาวิหารเดอแรมและปราสาทแบบโรมานเนสก์ที่ตั้งอยู่ในเมือง ซึ่งยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก และมหาวิทยาลัยเดอแรม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสามของอังกฤษ (อันดับ 1 คือมหาวิทยาลัย Oxford, อันดับ 2 คือมหาวิทยาลัย Cambridge)



คำว่า “เดอแรม” มาจากคำว่า “dun” ของภาษาอังกฤษโบราณ ซึ่งแปลว่าเนินและภาษานอร์สโบราณ “holme” ที่แปลว่าเกาะ[1] บาทหลวงแห่งเดอแรมใช้ภาษาละตินแปลงของชื่อเมืองในการลงนามที่ลงเป็น T“N. “Dunelm””[1] บ้างก็ว่ามาจากตำนาน “Dun Cow” และหญิงรีดนมที่นำพระที่แบกร่างของนักบุญคัธเบิร์ต (Saint Cuthbert) จากลินดิสฟาร์น (Lindisfarne)ไปยังที่ที่เป็นที่ตั้งเมืองในปัจจุบันในปี ค.ศ. 995



เชื่อกันว่าซอยดันคาวว์เป็นถนนสายแรกของเดอแรม อยู่ทางตะวันออกของมหาวิทยาลัยเดอแรม และทราบได้จากชื่อที่แกะไว้บนหินทางด้านใต้ของมหาวิหาร เดอแรมมีชื่อต่างๆ กันไปต่างๆ ตลอดมาในประวัติศาสตร์ บ้างก็ว่าเดิมมาจากภาษานอร์ดิค “Dun Holm” ต่อมาเปลี่ยนไปเป็น “Duresme” โดยชาวนอร์มันและรู้จักกันในชื่อภาษาละตินว่า “Dunelm” ชื่อ “Durham” ที่ใช้ในปัจจุบันมาใช้กันในภายหลัง นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตะวันออกเฉียงเหนือโรเบิร์ต เซอร์ทีส์ (Robert Surtees) ลำดับการเปลี่ยนชื่อในหนังสือ “History and Antiquities of the County Palatine of Durham” แต่ก็กล่าวว่าเป็นไปได้ยากที่จะทราบว่าชื่อที่ใช้ในปัจจุบันเริ่มขึ้นเมื่อใด



มหาวิหารเดอแรม (อังกฤษ: Durham Cathedral) เป็นมหาวิหารนิกายอังกลิคัน ตั้งอยู่ที่เมืองเดอแรมใน สหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1093 มีชื่อเต็มว่า The Cathedral Church of Christ, Blessed Mary the Virgin and St Cuthbert of Durham






ลักษณะโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นแบบโรมาเนสก์ มีหอคอยสูง 66 เมตร มีบันไดขึ้นทั้งหมด 325 ขั้น

มหาวิหารเป็นที่เก็บวัตถุมงคลของคัธเบิร์ตแห่งลินเดสฟาร์น (Cuthbert of Lindisfarne) นักบุญจากศตวรรษที่ 7 นอกจากนั้นยังเป็นที่เก็บศีรษะของนักบุญออสวอลด์แห่งนอร์ธัมเบรีย (St Oswald of Northumbria) และร่างของนักบุญบีด


บาทหลวงของมหาวิหารเดอแรมเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตำแหน่งของบาทหลวงของสังฆมณฑลเดอแรมถือว่ามีความสำคัญเป็นที่สี่ของ Church of England แม้ในปัจจุบันก็ยังมีป้ายของมณฑลเดอแรมว่าเป็นดินแดนของ Prince Bishops





มหาวิหารได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมกับปราสาทเดอแรมซึ่งอยู่
ตรงกันข้ามกันเหนือแม่น้ำเวียร์ (River Wear)


วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิธีดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดต่างๆ


สาวๆ ที่มีกรุ๊ปเลือด A :: จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม



นอกจากนี้สาวๆ กรุ๊ปเลือด A ยังไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง





สาวๆ ที่มีกรุ๊ปเลือด B :: เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง สาวๆ ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย เช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

สาวๆ เลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์ แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่



สาวๆ ที่มีกรุ๊ปเลือด AB :: เป็นสาวๆ ที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทน ไม่ควรดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไป และไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด




สาวที่มีเลือดกรุ๊ป O :: ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก











ร้านช็อคโกแล็ตที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวยอร์ค


Mariebelle มีช็อกโกแลตร้อนที่มีชื่อเสียงมาก โดยลูกค้า



สามารถนั่งจิบช็อกโกแลตร้อนๆ ได้ภายในร้านที่มีบรรยากาศสงบ



ฃนอกจากนี้ยังมีช็อกโกแลตให้เลือกกว่า 27 ชนิด เช่น รสมะนาว



รสถั่วฮาเซล รสชา




เมนูเครื่องดื่มช็อกโกแลตที่ได้รับความนิยม



• Aztec Hot Chocolate



• Aztec Spicy Hot Chocolate



• Aztec Mocha Hot Chocolate



• Aztec Iced Chocolate



• Iced Chocolate With Orange Juice



• Iced Chocolate With Coconut









Martine's Chocolate ก่อตั้งในปี 1992



เป็นร้านช็อกโกแลตที่ถูกจัดอยู่ในอันดับ 1 ของร้านช็อกโกแลตที่ดีที่



สุดจากนิตยสารผู้บริโภคฉบับหนึ่ง และได้รับการจัดอันดับให้เป็นร้าน



ช็อกโกแลตที่มีคุณภาพดีที่สุดในปี 2008-2010 จากคู่มือของ



Zagat Gourmet เนื่องจากเป็นร้านช็อกโกแลตที่เน้นทำสดๆ



แฮนด์เมด ซึ่งแสดงวิธีทำกันสดๆ ต่อหน้าลูกค้า และมีขั้นตอนการ



เลือกวัตถุดิบที่สด ธรรมชาติ และต้องดีที่สุดในโลก เช่น เนยจาก



ฝรั่งเศส ช็อกโกแลตจากเบลเยี่ยม ครีมจากอเมริกา ส่วนเมนูที่ดัง



และขึ้นชื่อคือ Chocolate Sugar Free ที่กินแล้วไม่อ้วนนั่นเอง










Vosges เป็นร้านที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อให้ลูกค้า



ได้ชิมรสชาติช็อกโกแลตอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งช็อกโกแลตที่นำมา



ขายถูกผลิตอยู่ในครัวใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในชิคาโก้ เมนูที่ขึ้นชื่อว่า



แปลก แต่มีรสชาติที่เข้ากันและอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อคือ เบคอน



ช็อคโกแลต เป็นเนื้อเบคอนในช็อกโกแลตนม


เมนูอื่นๆ ที่ขึ้นชื่อ



• Full Moon Brownies



• Love Goddess Cake



• Chocolate, Chili Mole Marinade


















วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นครรัฐวาติกัน ณ ประเทศอิตาลี (เมืองในฝัน * ^^ )

นครรัฐวาติกัน

                สำหรับวาติกันหรือชื่อเต็มๆ ว่า "นครรัฐวาติกัน" จัดได้ว่าเป็น ประเทศเอกราช หรือรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก โดยมีเนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ ในนครแห่งนี้ตามแผนผังประกอบไปด้วย วังวาติกัน, วังกัสเตลกันดอลโฟ (castelgendolfo) อันเป็นที่ประทับ ที่อยู่นอกชานกรุงโรมไปทางทิศใต้, มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน (Gregorian University) และโบสถ์ 13 แห่งในกรุงโรม เฉพาะวังวาติกันมีเนื้อที่ 150 ไร่ ซึ่งรวมวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และที่ประทับขององค์พระสันตะปาปาด้วย


                ภายในบริเวณดังกล่าวยังมีอุทยานวาติกันอันงดงาม มีสถานีวิทยุของวาติกัน มีที่ทำการไปรษณีย์วาติกัน สถานีรถไฟวาติกัน ธนาคารวาติกัน และร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด มีคุก มีสำนักพิมพ์ของตนเอง เช่น มีหนังสือพิมพ์ชื่อ โลสเสอร์วาโตเร โรมาโน

               
                 ส่วนพลเมืองของวาติกันที่มีเชื้อชาติวาติกันนั้นไม่มีในโลก มีแต่พลเมืองสัญชาติวาติกัน นครแห่งนี้มีพลเมืองประมาณ 900 คน เกือบ 200 คนเป็นสตรี มีทหารสวิสราว 100 คน ถือหอกโบราณเป็นอาวุธประดับเกียรติ ซึ่งเป็นองครักษ์พระสันตะปาปา ทหารสวิสนี้มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 การแต่งกายของทหารสวิส มีเครื่องแบบที่ออกแบบโดย มิเกลันเจโล (หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อไมเคิล แองเจโล) แถมทุกคนต้องเป็นชาวสวิสและเป็นคาทอลิก ทหารสวิสจะผลัดเปลี่ยนประจำการในชั่วระยะเวลาหนึ่ง

                นอกจากนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นทูตวาติกันประจำอยู่ในประเทศต่างๆ พลเมืองในนครแห่งนี้จะมีสัญชาติวาติกันเฉพาะในขณะที่ ดำรงตำแหน่งหรือเป็นภรรยาของพลเมืองวาติกัน หรือเป็นลูกที่มีอายุไม่เกิน 25 ปีเท่านั้น

                เรื่องราวที่ว่าเหตุใดที่แห่งนี้เป็นที่พำนักขององค์สันตะปาปานั้น เห็นทีจะต้องฉายภาพย้อนอดีตไปไกลสมัยยุโรปกลาง ในสมัยนี้คริสต์ศาสนามีอำนาจล้นฟ้าเหนือกษัตริย์ทุกพระองค์ในยุโรป องค์สันตะปาปาจึงจัดได้ว่าเป็นบุคคลมากล้นด้วยบารมี ซึ่งการได้มาของอำนาจนั้น เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คนชาวยุโรปที่มีต่อประมุขทางศาสนาของพวกเขา จนทำให้องค์ สันตะปาปาสามารถครอบครองดินแดนตอนกลางของอิตาลี ไว้ทั้งหมดรวมเรียกว่า ปาปาสเตท และมีศูนย์ กลางการปกครองอยู่ที่ วาติกัน กลางกรุงโรม

               การที่พระสันตะปาปาในสมัยแรกๆ ทรงมีอำนาจทางโลกล้นฟ้า และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไป กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะเล่นเกมต่อต้านพระองค์เพื่อลิดรอนอำนาจลง จนทำให้เขตการปกครองอย่าง ปาปาสเตทหดหายไป และในปี ค.ศ. 1860 ก็เหลือ อยู่แค่รอบๆ กรุงโรมเท่านั้น

               ต่อมาเมื่อ พระเจ้าวิคเตอร์ เอมานูเอล ที่ 2 ได้ปกครองอิตาลี มีการลงคะแนนเสียงประชามติว่า สมควรให้กรุงโรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี หรือเป็นปาปาสเตทของวาติกันต่อไป ผลออกมาปรากฏว่า ประชาชนเทคะแนนให้โรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี ทำให้องค์สันตะปาปา ปิอุสที่ 4 ซึ่งเป็นประมุขศาสนาในขณะนั้นไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงประกาศตัดขาดกับโลกภายนอก ประทับอยู่ภายในนครรัฐวาติกันเพียงอย่างเดียว สันตะปาปาองค์ต่อๆ มาจึงยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก และรัฐบาลอิตาลี



               จวบจนในปี ค.ศ. 1929 ได้มีการทำสนธิสัญญา ลาเตรัน (Lateran Treaty) ในสมัยมุสโสลินี ผู้นำอิตาลีกับวาติกันให้การรับรองและ คํ้าประกันอธิปไตยของนครรัฐวาติกัน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายอีกหลายๆ อย่าง เพื่อให้นครแห่งนี้สามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะรัฐอิสระ เหมาะสมที่จะให้สันตะปาปาปฏิบัติภารกิจ ในฐานะองค์ประมุขของ ชาวคาทอลิกทั่วโลกได้ เหตุที่เรียกสนธิสัญญาลาเตรัน เพราะมีการเซ็นกันที่พระราชวังลาเตรัน


               บทบาทขององค์สันตะปาปา จึงได้เปิดกว้างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และนครแห่งนี้กลายมาเป็นที่มีผู้คนจากทั่วโลก พากันไปเยือนไม่ตํ่ากว่าปีละ 10 ล้านคน


             โดยเฉพาะสถาปัตยกรรม มหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง วิหารเซนต์ปีเตอร์ จัดได้ว่ามีภูมิทัศน์ที่สวยงาม เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลมายลโฉมกัน แต่เดิมนั้น จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้สร้างบาสิลิก้า หรือศาลาประชาคมไว้ตรงนี้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ฝังศพของ นักบุญปีเตอร์ ที่ถูกทหารโรมันจับตรึงกางเขน โดยพระองค์ได้ก่อสร้างเอาไว้ในปี ค.ศ. 330

              หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1506 สมัยสันตะปาปา จูเลียสที่ 2 พระองค์ได้ตัดสินพระทัยรื้อของเก่าและสร้างวิหารเซนต์ปีเตอร์ขึ้นมา ซึ่งกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ใช้เวลาสร้างนานถึง 150 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญปีเตอร์ และแสดงความยิ่งใหญ่ของคริสตจักร ตลอดจนเป็นศูนย์กลางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

             งานก่อสร้างวิหารเซนต์ปีเตอร์นั้นอยู่ภายใต้การบริหารงานของสันตะปาปาถึง 20 องค์ ใช้เงินทอง ในการก่อสร้างวิหารหลังนี้ราว 300 ล้านเหรียญ กว่าจะสำเร็จได้

             ประตูเข้าทางด้านหน้าวิหารแห่งนี้มี 5 ประตู แต่ที่เปิดให้คนเข้าออกอยู่ประจำมี 4 ประตู ประตูขวาสุดเป็นประตูศักดิ์สิทธิ์เชื่อกันว่าใครได้เดินผ่านประตูนี้ เข้าวิหารไปจะสามารถไถ่บาปได้ แต่เดิมเคยเปิด 100 ปีต่อครั้ง โดยองค์สันตะปาปาทรงเปิดเอง ต่อมาได้มีการเปิดให้น้อยลงหน่อยเป็น 50 ปีต่อครั้ง แล้วลดเหลือ 25 ปีต่อครั้ง

             และอยากขอบันทึกเอาไว้ว่า วิหารเซนต์ปีเตอร์นี้เริ่มต้นจาก การวางผังโดย บรามันเต (Bramante) ต่อด้วย ราฟาเอล (Raphael) และก็ บัลดาสซาร์เร เปรุซซิ (Baldassarre Peruzzi) ส่งต่อให้ อันโตนีโอ ดาซังกัลโล (Antonio Dasangallo) จนถึงมิเกลันเจโล ซึ่งเป็นคนออกแบบหลังคาโดม อันถือว่ายิ่งใหญ่ คาร์โล มาแดร์โน (Carlo Maderno) มาแก้แปลนให้สมบูรณ์ขึ้น จาน ลอเรนโซ แบร์นีนิ (Gian Lorenzo Bernini) ออกแบบลานหน้าล้อมด้วยศาลา รูปวงกลมผ่ากลาง ตั้งเสาโอเบลิสค์ของอียิปต์ ตรงศูนย์กลางลานโดย ฟอนตานา (Fontana) อ่างนํ้าพุด้านขวาโดย มาแดร์โน อ่างนํ้าพุด้านซ้ายโดย แบร์นีนิ

               และศิลปกรรมที่นับว่าเยี่ยมยอดที่สุด แห่งวาติกัน ก็น่าจะได้แก่จิตรกรรมลํ้าค่าบนเพดาน โบสถ์ซิสติน (Sistine Chapel) ซึ่งเป็นโบสถ์ทําศาสนกิจสําหรับ สันตะปาปาเป็นส่วนพระองค์ จิตรกรรมนี้เป็นฝีมือของมิเกลันเจโล ซึ่งมีทั้งภาพ “การพิพากษาสุดท้าย (Last Judgement)” และ “กำเนิดของอดัม (Creation of Adam)” อันลือลั่น










วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาดูสถานที่แปลกๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่ามีในโลกกัน (ต่อ)

11. ถ้ำคริสตัล (Crystal Cave) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ถ้ำคริสตัล เป็น 1 ใน 240 ถ้ำ (ที่ถูกค้นพบ) ภายในอุทยานแห่งชาติ Sequoia ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้ำดังกล่าวเป็นถ้ำ "หินอ่อน" ธรรมชาติ ที่ภายในมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 9 องศาเซลเซียส ซึ่งการจะเข้าไปชมภายในถ้ำต้องอาศัยไกด์ทัวร์เป็นผู้นำทางเท่านั้น


12. ทุ่งหินรูปรังผึ้ง Bungle Bungles ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย


ทุ่งหินทรายที่มีรูปทรงคล้ายรังผึ้ง หรือ Bungle Bungles นี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Purnululu ที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) กลุ่มหินดังกล่าวประกอบด้วยหินทรายและหินกรวดมน ซึ่งเมื่อประมาณ 375-350 ล้านปีก่อนหินเหล่านี้เคยเป็นตะกอนในลุ่มน้ำ "Ord"


13. ภูเขาไฟ Redoubt ที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา


Redoubt เป็นภูเขาไฟมีพลัง (active volcano) อายุนับพันๆ ปี ที่ยังคงคุกรุ่นและเกิดการปะทุหรือระเบิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา


14. ดินแดนโบราณ คัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี

คัปปาโดเกีย ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 (พ.ศ. 2528) ดินแดนดังกล่าวมีภูมิประเทศที่แปลกตาซึ่งเกิดจากจากลาวาภูเขาไฟที่ไหลออก มาปกคลุมพื้นที่ เมื่อวันเวลาผ่านไป พายุ ลม ฝน ได้เป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิดการแปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม บางส่วนมีประชาชนอาศัยอยู่ภายใน


15. ทะเล (สาป) เดือด Boiling Lake ประเทศโดมินิกา (Commonwealth of Dominica)

“Boiling Lake” เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลสาป Frying Pan Lake ของประเทศนิวซีแลนด์) มีความกว้างราว 60 เมตร ลึก 59 เมตร อุณหภูมิริมทะเลสาปอยู่ที่ประมาณ 82 – 91.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำภายในทะเลสาปแห่งนี้มีลักษณะขึ้น-ลงตลอดเวลา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) น้ำในทะเลสาปแห่งนี้ได้แห้งเหือดหายไป และเพิ่งกลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา


16. แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto) ที่ประเทศสเปน

บริเวณ พื้นที่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำ Río Tinto มีการทำเหมืองทองแดง เงิน ทอง และแร่ธาตุอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ (ราว 5 พันปีก่อน) ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวมีค่าความเป็นกรดสูงมาก ส่วนสาเหตุที่น้ำมีสีแดงก็เนื่องมาจากก้อนหินที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ประกอบ ด้วยธาตุเหล็กในปริมาณเข้มข้นนั่นเอง เหมืองในแถบนี้ถูกปิดมานานนับ 10 ปี แต่เนื่องจากทองแดงมีราคาสูงขึ้น เจ้าของเหมืองจึงมีแผนเปิดเหมืองทองแดงอีกครั้งในปีหน้า


17. หุบเขาโลกพระจันทร์ (Vale de Lua) ที่ประเทศบราซิล


หุบเขาโลกพระจันทร์ หรือ "the valley of the moon" เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี โดยพื้นที่ว่างระหว่างก้อนหินจะมีน้ำจากแม่น้ำ San Miguel แทรกอยู่ภายใน ดินแดนประหลาดแถบนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeiros ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ที่ผ่านมา

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาดูสถานที่แปลกๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่ามีในโลกกัน

1. เดอะเวฟ (The Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา

เดอะเวฟ คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้


2. Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)

นี่คือภาพลานหินตะกอนบริเวณชายฝั่งที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสมาเนีย ซึ่งถ้าหากมองเผินๆ จะแลดูคล้ายมีใครนำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางเรียงรายริมทะเล (บริเวณขอบสี่เหลี่ยมที่เราเห็นเป็นแนวเส้นตรงนั้น เกิดจากแรงตึงเครียดของผิวโลก ผนวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของคลื่นและแรงเสียดสีของทราย)


3. หินรูปทรงประหลาดในทะเลทรายขาว (White Desert) ประเทศอียิปต์


ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ใน Farafra Oasis มีลักษณะเป็นสีขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่มากมาย อันเป็นผลงานของพายุทรายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว


4. บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring) ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น

น้ำพุร้อนสีเลือด (Chinoike Jigoku) เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมากนั่นเอง


5. Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ


Giant's Causeway เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 50,000 ถึง 60,000 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดหินรูปหกเหลี่ยมและหินแท่งสี่เหลี่ยมกว่า 40,000 แท่ง องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน Giant´s Causeway เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529)


6. ทะเลเกลือ (salt flats) ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย


จริงๆ แล้วที่ราบเกลือหรือทะเลเกลือลักษณะนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทะเลเกลือที่ Salar de Uyuni ของประเทศโบลิเวียนั้น มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร


7. ป่าหิน (Stone Forest) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน

อุทยานป่าหิน (Shilin National Park) ในเมืองคุนหมิง จัดเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 12 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีหินปูนเหล่านี้อยู่ใต้ผิวโลก แต่ภายหลังได้ถูกดันขึ้นมาในลักษณะเดียวกับหินงอก เชื่อกันว่าป่าหินแห่งนี้มีอายุราว 270 ล้านปีเลยทีเดียว


8. ธารน้ำแข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)

ธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสีแดงส้ม ตัดกับน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ซึ่งมีสีขาวโพลน เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก (iron oxide) ซึ่งก็คือ "สนิม" นั่นเอง ด้วยเหตุนี้บริเวณดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามตามลักษณะทางกายภาพว่า "น้ำตกเลือด" (Blood Falls)


9. ทะเลสาบสปอท เลค (Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา

“สปอท เลค” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต, แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน นักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น (ส่วนที่เป็นจุดๆ คือน้ำ นอกนั้นเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)


10. ทะเลทรายแบล็ค ร็อค (Black Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา

ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาบที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000 พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาบโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด (เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน) ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง 150 เมตรเลยทีเดียว



วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เที่ยวอิหร่าน เที่ยวหมู่บ้านอับยาเนห์ *

เที่ยวอิหร่าน เที่ยวหมู่บ้านอับยาเนห์

ตลอดเส้นทางก่อนเข้าหมู่บ้านAbyaneh อีกเพียง ๒๕ กิโลเมตรตามที่ป้ายบอกทางก็ทำให้ฉันนั่งไม่ติดเก้าอี้ในรถบัส เดี๋ยวไปตอนท้ายของรถ หมุนซ้ายหันขวาไปพร้อมกับการกดชัตเตอร์ริมสองข้างทาง


มาถึงแล้วอับยาเนห์ บ้านดินฉาบด้วยสีแดง ทั่วหมู่บ้านทำให้หมู่บ้านนี้แปลกตาตั้งแต่แรกเข้ามาภายในหมู่บ้าน แต่ภาพความงามของผู้คนภายในหมู่บ้านกลายเป็นสีสันสวยงาม เป็นความแปลกตาที่เกิดกับฉัน บ้านดินสีทองแดง ชิดแน่นติดกัน เรียงรายซ้อนกันอย่างมีระเบียบสไตค์อิหร่าน

อับยาเนห์เป็นบ้านดินเก่าแก่ ๔๐๐๐ ปี ที่ยาวนานแต่หมู่บ้านนี้ยังคงรูปแบบการดำรงชีวิตและเอกลักษณ์ที่ดั้งเดิมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ มีบ่อน้ำเล็กๆที่หล่อเลี้ยง และถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว ...

หญิงอิหร่านส่วนใหญ่หลายเมืองที่เห็นจะเป็นภาพหญิงคลุมศรีษะด้วยผ้าดำ สวมเสื้อตัวยาวโคร่ง สีดำเข้มทำให้มีมติความลึกลับ แม้ไม่ค่อยมีเวลาในการเสพความงามของอับยาเนห์ มือฉันก็กดชัตเตอร์เก็บภาพไว้

ผู้หญิงที่อับยาเนห์ ใส่ผ้าสีสันสดใสลายดอก สะท้อนความงามและภาพชีวิต การนั่งสนทนากันของชาวบ้าน ทั้งชายหญิง

ฉันเดินตามกลุ่มที่มาด้วยกันที่เร่งรีบ เพราะมีอีกหลายแห่งยังรอฉันอยู่ แต่ที่ อับยาเนห์ บ้านดินเก่าแก่ อยู่ริมเชิงเขา คาส์ชาน Kashan ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ๒๒๐๐ เมตร

อากาศแม้ในหน้าร้อน ทำให้รู้สึกเย็นสบายทุกครั้งที่มีลมพัด แต่หน้าหนาวจะเยือกเย็นหิมะตกสูงหนา









วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553



>> ขาพาดผนัง



วันไหนที่หนุ่มต้องเดินทางด้วยเท้าเป็นระยะทางสุดไกล หรือยืนรอสาวที่รู้ใจเลือกซื้อของ ย่อมเริ่มมีอาการหนักน่องปวดขาขึ้นมาชัวร์ เคล็ดไม่ลับนี้พี่มิ้งได้มาจากครูฝึก ร.ด. บอกเอาไว้ว่าถ้าเดินมากๆ ให้ยกขาทั้งสองข้าง ตั้งตรงขึ้นพาดกับกำแพง โดยตั้งแต่ก้นจนถึงส้นเท้าจะต้องแนบกำแพง ให้ตัวตั้งฉากเป็นรูปตัว L


การทำท่านี้จะช่วยให้เลือดที่ไหลลงด้านล่าง ไหลย้อนกลับมา ช่วยบรรเทาอาการปวดขาอย่างได้ผลเลยนะ


>> สระผม


สระผมกลางคืนสำคัญมาก เริ่มกันตั้งแต่เครื่องแต่งผมทั้ง เจล,แว็กซ์,มูส,สเปรย์ ล้วนเป็นสารเคมีที่ไม่ควรจะร่วมนอนด้วยทั้งนั้น ยังไม่นับฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ดักจับมาตลอดทั้งวัน จนเต็มพื้นที่ผม ถ้าอยากสัมผัสถึงความสกปรกหลังจากกลับถึงบ้าน ลองเอานิ้วรูดที่เส้นผมตัวเองดู จะได้สัมผัสกับความสกปรกอย่างใกล้ชิดเทียวล่ะ




>>ขัดตัว


กิจกรรมใดๆ ก็แล้วแต่ที่เรียกเหงื่อออกมาทั้ง เดินเที่ยวเล่นในวันอากาศร้อน,เล่นกีฬา,ออกกำลังกาย ฯลฯ จะทำให้เกิดคราบไคล ที่บางทีแค่เพียงถูสบู่ไม่อาจชะล้างได้หมด  ต้องลองหาแปรงขัดตัวด้ามจับยาวๆ แล้วล่ะ เพื่อที่จะขัดได้ทั่วตัว ตั้งแต่หน้ายันหลังยันล่าง หลังจากถัดเสร็จแล้วล้างด้วยน้ำจะเห็นเลยว่าฟองสบู่ที่ไหลไปเนี่ย อุดมไปด้วยคราบไคลแบบเต็มๆ




>> นวดฝ่าเท้า


ไม่ต้องเข้าสปา หรือ วัดโพธิ์ เพื่อหวังจะได้รับอาการผ่อนคลายหายเมื่อยเป็นปลิดทิ้ง แต่แค่มือของคุณบีบนวดเบาๆ บริเวณฝ่าเท้าก็ช่วยคลายเส้น + กล้ามเนื้อที่ตึงๆ ได้แล้ว