วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553


แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย
ตำนานแวมไพร์ที่มีมานานนับพันๆปีเรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คงจะได้ แวมไพร์มิได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติเผ่าพันต่างๆทั่วโลกก็มีแวมไพร์ในฉบับของตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย ที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลายพันธุ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก หนังและภาพยนต์ ซึ่งร้อยทั้งร้อยมาจากยุโรปอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของแวมไพร์มาจากตะวันออกไกล กระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน ธิเบต อินเดีย เข้าสู่แถบทะเลเมดิเตอเรเนี่ยน ตำนานนี้กระจายไปทั่วแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอนข่าน รวมไปถึงฮังการี และดินแดนที่เราคุ้นเคย ทรานซิลเวเนีย ปัจจุบันแวมไพร์ในความคิดของเรามักเป็นไปในแนวของผีดูดเลือด ผู้ที่ฟื้นจากความตาย ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้ คุณสมบัติของพวกนี้เป็นแวมไพรืของพวกยุโรป และในหนังผีดิบจริงๆแล้ว พวกแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่

Slavic vampire
ชาวสลาฟ เป็นชาวที่ร่ำรวยเรื่องที่เกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนที่กินพื้นที่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แหล่งชุมนุมแวมไพรืที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ในเมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดนที่เชื่องต่อระหว่าง ฮังการี กับประเทศโรมาเนีย แวมไพร์พวกนี้จะมีเล็บมือยาวสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธีการปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟคือการจับเผาทั้งเป็น หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้จากโบสถ์ใส่พวกมันก็ย่อมได้ เนื่องจากโรมาเนียถูกล้อมไปด้วยชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวมไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางเชื้อสายสลาฟนิดๆภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้นจะเรียกแวมไพร์ว่า strigoi อาจจะหมายถึงนกฮูกแก่ๆหรือ ปิศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน strigoi ส่วนมากคือพวกใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า strigoi พวกนี้จะถอดวิญญาณออกจากร่าง เพื่อไปชุมนุมกันในคืนที่จันทรืเต็มดวง หรือไม่ก็เที่ยวออกตระเวนดูเลือดคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนั้น เหยื่อผู้เคาระร้ายมักจะเป็นคนในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านไกล้เคียง อย่างไรก็ตาม คนที่เกิดมาโดยมาสัญลักษณ์ของปิศาจ( มีหาง เขี้ยวงอก ขนรุงรัง) หรืออาจจะเป็นคนที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ หรือเสียชีวิตโดยไม่ได้ผ่านพิธีรับศีล พวกนี้มีสิทธิ์จะเป็นแวมไพร์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั้นแหละแวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถมนั้นเวลาท้องมักจะกินเกลือเพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิ์เป็นแวมไพร์ชัวร์ๆก็คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา



ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับแวมไพร์อย่างไกล้ชิด คิดว่าเราๆท่านๆก็คงคุ้นเคยกันนั้นคือเรื่องของ มนุษย์หมาป่านั้นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดีจะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์จนสามารถกรายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้กระทั้งหมูก็ได้.....
สิ่งกลายพันธ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเรียกว่า Lycanthropy ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆกับแวมไพร์ทีเดียว ว่ากันว่า แวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมา มันมีใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่สงสัยว่ามีสมาชิกเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่ายังอยู่หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้....
ถ้าเป็นเด็กสามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว
วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆกนทุกคนกล่าวคือ เมื่อชาวโรมาเนียสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้าแจคพอร์ตเป็นแวมไพร์ โลงนันจะมีไฟลุกพรึบและเสียงกรีดร้องโหยหวน......

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553




2 พ.ย. 2552 ไม่ใช่แค่วันลอยกระทงของไทย แต่ยังมีเรื่องราวของบุคคลที่โลกต้องจารึก



ยุคปฏิวัติฝรั่งเศส เกิดมานานเท่ากับการจากไปของเธอผู้นี้ “มารี-อองตัวเน็ต” ชายาแห่งหลุยส์ที่16


พระนางมารี-อองตัวเน็ต โฌเซฟ ฌานน์ เดอ ฮับสบูร์ก-ลอแรนน์ ธิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ดยุคใหญ่แห่งแคว้นทัสคานี กับสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทรีซาแห่งออสเตรีย รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “มารี-อองตัวเนตแห่งออสเตรีย”


พระนางมารี-อองตัวเน็ตประสูติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2298 ณ กรุงเวียนนา สิ้นพระชนม์ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2336 กรุงปารีส พระนางถูกประหารด้วยกิโยตินระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส พระศพของพระนางถูกฝังในหลุมฝังศพลา มาเดอเลน บนถนนอองจู-ซังต์-ตอนอเร ต่อมาวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) พระศพของพระนางถูกขุดขึ้นมา และย้ายไปฝังที่วิหารซังต์ เดอนีส์

เล่ากันว่า พระนางมารี-อองตัวเน็ต ถูกเลี้ยงมาแบบง่ายๆ กว่าการเลี้ยงดูของราชนิกูลในราชสำนักฝรั่งเศส และได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ห่างไกลจากกฎเกณฑ์ทั้งปวงของราชสำนัก พูดได้ว่าเกือบจะเป็นแบบชาวบ้านธรรมดา


พระนางอ่านออกเขียนได้เมื่ออายุเกือบ 10 ชันษา เขียนภาษาเยอรมันได้ไม่ดี พูดภาษาฝรั่งเศสได้น้อยนิด และพูดภาษาอิตาเลียนได้น้อยมาก ทั้งที่ทั้ง 3 ภาษา ราชนิกูลของออสเตรียต้องเรียนรู้


พระนางมารี-อองตัวเน็ตอภิเษกกับหลานชายคนโตของหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศษ และพยายามมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือพระมหากษัตริย์ ด้วยการถอดถอนแต่งตั้งและรัฐมนตรีเป็นว่าเล่น และฟุ่มเฟือย ขณะที่ประชาชนกำลังอดยากและยากไร้


โดยครั้งหนึ่งมีประชาชน ตะโกนบอกพระนางมารี อองตัวเนตว่า


>> "พวกเราหิว!!!"


พระนางตอบว่า


>> "เอาขนมบริออชให้พวกเขากินสิ จะได้เงียบกันเสียที!!!"
ซึ่ง “บริออช” เป็นขนมปังถ้วยฟูของฝรั่งเศสที่มีราคาแพงกว่าขนมปังมาก

พระนางมารี อองตัวเนตทรงประสูติพระธิดาองค์มีพระนามว่า มารี-เทเรสแห่งฝรั่งเศส หรือ "มาดามรัวยาล" และเจ้าชายหลุยส์-โจเซฟ มกุฎราชกุมาร


ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก

10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก



มาดูผลการจัดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก Top 10 ลุ้นว่าเมืองไทยจะติดกับเค้าไหม แต่คงไม่น่าจะติดหรอก เพราะ เมืองที่น่าอยู่คงไม่ใช่เมืองที่ประชากรทะเลาะกันทั้งประเทศแบบนี้แน่ๆ เอาล่ะ ผลการจัดอันดับนี้ได้รับรองผลจากสถาบัน Mercer สถาบันที่ปรึกษาการบริหารที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศรายชื่อ10อันดับเมืองน่าอยู่อาศัยที่สุดในโลก จากผลการสำรวจคุณภาพชีวิต ประจำปี 2009 ของ Mercer ที่ครอบคลุม 215 เมืองทั่วโลก


อันดับ 10 “เมืองซิดนีย์”(Sydney) ประเทศออสเตรเลีย


ซิดนีย์ (Sydney) ประเทศออสเตรเลีย


ซิดนีย์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศออสเตรเลีย มีประชากรราว 4.5 ล้านคน มีท่าเรือและชายหาดบอนได (Bondi Beach)ที่สวยงาม มีโรงโอเปร่า(Opera House)ที่มีชื่อเสียง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของเมือง การออกแบบโครงสร้างของตัวโรงละคร ได้กลายเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่โด่งดังของศตวรรษที่ 20 มีเพียง 2 ฤดูกาลที่เมืองซิดนีย์ ได้แก่ฤดูร้อน และฤดูหนาว แต่โดยปกติบรรยากาศจะเป็นแบบสบาย ๆ อุณหภูมิเฉลี่ย25 เซลเซียส นอกจากจะเป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 10 ของโลกแล้ว Mercer ยังระบุว่า ซิดนีย์เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 15 ของโลกอีกด้วย





อันดับ 9 “เมืองเบอร์น”(BERN) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์




เมืองเบอร์น (BERN) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


เป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใจกลางเมืองนี้ยังคงเอกลักษณ์ของการเป็นเมืองเก่าแก่และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมในยุคกลาง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก ที่สำคัญ เมืองเบอร์น ยังเป็นสถานที่ซึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ เคยเข้ามาอาศัยและทำงานราวปี ค.ศ. 1903(พ.ศ. 2446) ปัจจุบัน บ้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ 49 ถนนแครมกาซเซ่ (Kramgasse) ได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์บ้านไอน์ไตน์ ที่มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกแวะมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก






อันดับ 8 “เมืองแฟรงค์เฟิร์ต”(Frankfurt) ประเทศเยอรมนี




เมืองแฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt) ประเทศเยอรมนี


เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้งยังเป็นที่ตั้งของธนาคารกลางยุโรป ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต และ German Federal Bank นอกจากความมั่งคั่งทางการเงินแล้ว เมืองนี้ยังมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นอยู่ที่วิหารแบบโกธิค สมัยศตวรรษที่ 14 ขณะเดียวกันก็มีตึกระฟ้ารูปทรงทันสมัยและสวยงามตั้งตระหง่านบริเวณใจกลางเมืองอีกด้วย





อันดับ 7 “เมืองมิวนิค”(Munich) ประเทศเยอรมนี




เมืองมิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมนี

เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรราว 1.36 ล้านคน แม้จะเป็นเมืองที่เจริญและมั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่เมืองนี้ยังคงอนุรักษ์โบราณสถานและสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แบบโกธิคเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี






อันดับ 6 “เมืองดึสเซลดอร์ฟ” (Dussselddorf) ประเทศเยอรมนี


เมืองดึสเซลดอร์ฟ (Dussselddorf) ประเทศเยอรมนี


เป็นเมืองหลวงของรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านแฟชั่น โฆษณา และโทรคมนาคมของประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวกว่า 4.5 ล้านคนทั่วโลก เดินทางมาชมขบวนพาเหรดสุดอลังการ ในช่วงเทศกาลคาร์นิวาลของเมืองดึสเซลดอร์ฟ





อันดับ 4 ร่วม (คะแนนเท่ากัน 2 เมือง จึงไม่มีอันดับห้า) “เมืองอ๊อคแลนด์”(Auckland) ประเทศนิวซีแลนด์



เมืองอ๊อคแลนด์ (Auckland) ประเทศนิวซีแลนด์


อ๊อคแลนด์ ตั้งอยู่ทางเกาะเหนือ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “City of Sails” เนื่องจากมีท่าเทียบเรือที่สวยงามถึง 2 แห่ง คือ ท่าเรือ Waitemata ทางด้านทิศเหนือ และท่าเรือ Manukau ทางด้านทิศใต้ ในภาษาเมารีอ็อคแลนด์มีชื่อว่า Tamaki-Makau-Rau แปลว่า หญิงสาวที่มีผู้มาขอความรักถึง 100 คน อ็อคแลนด์ได้สมญานามนี้มาจาก การที่เป็นภูมิภาคที่ชนเผ่าต่างๆ ต้องการครอบครอง บรรยากาศที่ผสมผสานกันของอ่าว หมู่เกาะ วัฒนธรรมโพลีนีเชี่ยนและความเป็นเมืองที่ทันสมัยก็ทำให้อ็อคแลนด์ติดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก





อันดับ 4 ร่วม “เมืองแวนคูเวอร์”(Vancouver) ประเทศแคนาดา



เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “แวนคูเวอร์” มักได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สะอาด และน่าอยู่ที่สุดในโลก เมืองดังกล่าวถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุด และยังเป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ปัจจุบัน แวนคูเวอร์ เป็นศูนย์กลางด้านการช้อปปิ้ง และการถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก






อันดับ 3 “เมืองเจนีวา” (Geneva) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์



เมืองเจนีวา (Geneva) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริค) โดยมีประชากรอาศัยอยู่ในเขตตัวเมืองราว 185,000 คน และยังเป็นศูนย์กลางด้านการเงินที่สำคัญเป็นอันดับ 6 ของโลก เจนีวา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติสำคัญๆ หลายองค์กร อาทิ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น นอกจากนี้ เจนีวายังเป็นสถานที่จัดตั้งองค์กรสันนิบาตชาติ และกาชาดสากล ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของ www (World Wide Web) ตลอดจนเครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่และมีพลังงานสูงสุดในโลก หรือที่เรียกว่า Large Hadron Collider (LHC)





อันดับ 2 “เมืองซูริค” (Zurich)ประเทศสวิตเซอร์แลนด์



มืองซูริค (Zurich)ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


ซูริค เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในยุโรป และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรอาศัยอยู่ในตัวเมืองทั้งสิ้นราว 1.68 ล้านคน เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและวัฒนธรรมของประเทศ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอก จากนี้ ซูริค ยังเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพการดำเนินชีวิตดีที่สุดในโลกจาก ผลการสำรวจของหลายสำนัก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006-2009





อันดับ 1 “เมืองเวียนนา” (Vienna) ประเทศออสเตรีย





เมืองเวียนนา (Vienna) ประเทศออสเตรีย


ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2009 จากผลการสำรวจของ Mercer เมือง ดังกล่าวมีความเข้มแข็งและมั่นคงทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า แสนโรแมนติกเมืองหนึ่งของโลก กรุงเวียนนา ยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งดนตรีคลาสสิก อมตะของโลก ซึ่งนักแต่งเพลงคลาสสิกไม่ว่าจะเป็น บีโธเฟ่น โมสาร์ท, ชูเบอร์ก, บราห์ม หรือ โยฮัน สเตราส์ ล้วนมาจากที่นี่



วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

16 เรื่องจริงในประเทศเกาหลีที่คุณอาจไม่รู้



1. บนรถไฟใต้ดินที่เกาหลี จะมีคนเอาของขึ้นมาขายบ่อยๆ แล้วจะพูดขายของเสียงดังมาก

โดยส่วนมากจะลากใส่รถเข็นขึ้นมา ที่เห็นบ่อยๆ ก็เช่น ถุงใส่ผ้า ยาขัดรองเท้า ถุงเท้า

2. บนรถไฟใต้ดินจะมีที่นั่งของคนชรา คนท้อง และคนพิการแยกอยู่ ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่ควรนั่งเด็ดขาดไม่งั้นจะถูกมองด้วยสายตาแปลก

3. คนเกาหลีจะนิยมส่งเมสเสจหากันมากกว่าโทรไปหาโดยตรง และคนเกาหลีตัวจริงจะกดแป้นโทรศัพท์กันไวมาก โดยปีล่าสุดคนเกาหลีใต้เคยไปแข่งกดส่ง sms และได้รางวัลที่ 1 ระดับโลก


4. ที่ว่าคนเกาหลีกินหมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกคน หาได้ง่ายตามต่างจังหวัด ส่วนเมืองหลวง (กรุงโซล) อาจหายากหน่อยแต่ก็ไม่ยากเกินไป นอกจากหมาแล้ว แมวก็กินด้วย





5. ประเทศไทย นักศึกษาบางคนจะใส่ชุดนักศึกษาตัวเล็กจนรัด แต่ที่เกาหลี นักเรียนบางคนจะใส่ชุดนักเรียนตัวเล็กจนรัดมาก (แต่ส่วนมากจะใส่เสื้อทับนะ)


6. และชุดนักเรียนเกาหลีราคาแพงมากกกกกกกกกก ชุดนึงตกประมาณ 7-8 พันบาทจนไปถึงเป็นหมื่นบาท



7. เด็กนักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การเรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงสอบปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชาเลขเป็นวิชาที่เด็กเกาหลีทุ่มเทมากๆๆ

8. พ่อแม่คนเกาหลีจำนวนมากยอมย้ายบ้านเพื่อมาส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่อยู่ต่างเมืองเช่น บ้านอยู่ปูซาน แต่จะส่งลูกเข้าเรียนในกรุงโซล ก็จะพากันย้ายมาอยู่โซลกันทั้งครอบครัว โดยส่วนมากจะเป็นช่วงมัธยมต้นและปลายของลูก




9. หน้างานคอนเสิร์ตทุกงาน จะมีลุงหรือป้าแก่ๆ มาขายแท่งไฟ ขายป้ายชื่อ ขายกล้องส่องทางไกลและสินค้าอื่นๆ ของศิลปิน ถ้าเป็นหน้าหนาว ลุงหรือป้าคนนั้นจะเปลี่ยนอาชีพมาเดินขายผ้าห่มหน้าคอนเสิร์ตนั้นๆ แทน







10. คนเกาหลีไม่ได้ศัลยกรรมทุกคน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่การศัลยกรรมที่นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา คนจึงทำกันเยอะ อย่าไปเรียกประเทศเค้าว่าเป็นประเทศคนหน้าพลาสติก




11. เวลาคนเกาหลีไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนทั่วไปไปกินเหล้า ส่วนมากหลังจากเปิดขวด จะใช้แก้วใบเดียวรินเหล้าแล้วค่อยๆดื่มทีละคน แล้ววนกันไปจนครบทุกคนก่อน 1 รอบโดยใช้แก้วใบเดียวกัน หลังจากนั้นค่อยต่างคนต่างดื่ม แก้วใครแก้วมัน


ขนมต๊อก

12. เวลาย้ายบ้าน คนที่ย้ายไปใหม่จะต้องเอาขนมต๊อกไปมอบให้แก่เพื่อนบ้าน ถือเป็นการทำความรู้จักและผูกมิตรในขั้นต้น



13. เวลาซื้อของกินตามแผงข้างทางแล้วยืนกินตรงแผงนั้น ควรจะกินให้หมดเลย เพราะป้าเจ้าของร้านบางร้านจะเอาของที่กินไม่หมด เอาลงไปผัดในกะทะแล้วขายต่อ

14. ในเกาหลี ผู้ชายสามารถบ้าดาราได้อย่างเปิดเผยและออกรสออกชาติมาก เวลาไปดูคอนเสิร์ตจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเจอแฟนคลับกลุ่มผู้ชายตะโกนโหวกเหวกยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก




15. วันสอบเอนทรานซ์ของเด็กเกาหลี (เรียกว่าซูนึง) เป็นวันที่ถือว่าสำคัญมากๆๆ อาจารย์ผู้หญิงห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเพราะถือว่าเดินแล้วเสียงดังจะทำลายสมาธิเด็ก คนทำงานอนุญาตให้เข้างานสายได้กว่าปกติ เพราะต้องออกจากบ้านช้า เนื่องจากให้นักเรียนรีบออกไปสอบก่อน รวมถึงในคาบสอบการฟัง สายการบินต่างๆ จะงดเที่ยวบินในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเกรงว่าเสียงเครื่องบินจะรบกวนการทำข้อสอบ




16. มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีคือ มหาวิทยาลัยโซล มหาวิทยาลัยโคเรีย และมหาวิทยาลัยยอนเซ คนเกาหลีเรียกรวมกันว่า SKY โดยมาจากตัวอักษรตัวแรกของแต่ละมหาวิทยาลัย

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ต่อ** เปิดห้อง นศ.แพทย์ไทย ในฝรั่งเศส ,,

สวัสดีค่ะ  ต่อจากคราวที่แล้วที่แคทแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกับ นศ.ไทยที่ได้เรียนถึง 3 ประเทศ
วันนี้แคทจะพาเพื่อนๆไปเปิดห้องพี่เค้าดูกันมามีอะไรบ้าง  ^^





จากการที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ทำให้มีประสบการณ์แปลกใหม่หลายอย่าง และพบกับบุคคลที่หลากหลายชาติและภาษา ปัญหาเรื่องการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจึงไม่ใช่เรื่องยาก ผมจึงขอแบ่งปันประสบการณ์เพื่อเป็นประโยชน์แก่หลายๆ คนที่กำลังเตรียมตัวจะไปอยู่ต่างประเทศหรือต่างถิ่น การเตรียมตัวเดินทางเมื่อไปอยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะการเดินทางคนเดียว เราจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย เช่น อาหารการกิน จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่นเรื่องสุขภาพ การเงิน






ผมจะเล่าเรื่องตั้งแต่การเดินทาง การเตรียมเสื้อผ้านั้นเราไม่ต้องเตรียมเอาอะไรไปมาก เอาที่จำเป็นไปพอเพราะมันจะทำให้กระเป๋าหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราต้องเปลี่ยนเครื่องบินโดยสารบ่อยๆ ความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งเราจะต้องรอเปลี่ยนเครื่องนานถึง 7 ชั่วโมงหากมีสัมภาระเยอะจะทำให้เกิดความไม่สะดวก(โดยทั่วไปแล้วสัมภาระที่เราจะติดตัวได้ โดยการขนส่งทางเครื่องบินไม่ควรเกิน 20-30 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสายการบินและประเภทตั๋ว และของที่เราจะต้องติดตัวขึ้นเครื่องบินควรไม่เกิน 8-10 กิโลกรัม








สภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันผมอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ในกรุงปารีส เขต 11 ขนาด 29 ตารางเมตร มีครัว เฟอร์นิเจอร์และห้องน้ำในตัว ค่าเช่าเดือนละ 550 ยูโร ซึ่งการใช้ชีวิตนั้นแตกต่างกับตอนที่อยู่ไทย ผมจะทำทุกอย่างเองไม่ว่าจะเป็นทำอาหาร ซักรีด ซึ่งก็คือเป็นการฝึกความรับผิดชอบไปในตัว




ตำราหนังสือเรียนแพทย์


หลายคนตั้งคำถามว่า “ควรซื้อเสื้อกันหนาวจากไทยไปหรือจะซื้อที่ต่างประเทศ” โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่า เสื้อกันหนาวนั้นมีน้ำหนักมาก เราควรจะนำติดตัวไปเพียงตัวเดียว ตัวที่เราชอบมากที่สุดและสามารถป้องกันความหนาวจากประเทศที่เราไปอยู่ได้ เสื้อกันหนาวที่ต่างประเทศนั้นมีแบบให้เลือกมากกว่าและราคาถูกกว่า ต่อไปเราควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับความเจ็บป่วยผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวควรไปขอใบรับรองจากแพทย์ ยาที่ใช้และขนาดของการใช้ยา และควรเตรียมยาไว้ประมาณ 3 เดือน ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรศึกษาวิธีการใช้ยาให้ละเอียดเพราะผมเคยมีปัญหา ยาประจำตัวที่ใช้นั้นไม่มีขายในฝรั่งเศส ซึ่งแพทย์ประจำตัวแนะนำให้ใช้ตัวยาอื่นแทนได้ ส่วนยาที่ควรมีติดตัวไว้ได้แก่ 1.ยาแก้ปวด 2.ยาแก้แพ้ 3.ยาช่วยย่อยอาหารหรือลดกรดในกระเพาะอาหาร 4.ยาดม(หาซื้อในต่างประเทศยากมาก) 5.ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน 6.ยาแก้ปวดท้องประจำเดือน(สำหรับผู้หญิง) 7.ยาแก้ไอ แก้อักเสบ เจ็บคอ เป็นต้น






อุปกรณ์ที่ควรติดตัว ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางครั้งซื้อที่ต่างประเทศก็ถูกกว่าไทย ควรศึกษาก่อนเดินทาง ก่อนการเดินทางเราควรจดจำที่อยู่ต่างประเทศให้ได้ก่อนเดินทาง เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน ในประเทศนั้นๆ เอกสารการเดินทางเข้าเมือง











เมื่อเดินทางถึงแล้วสิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับแรก คือการปรับตัวหลายคนต้องพบกับอาการซึมเศร้าที่ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง ผมแนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยการเล่นดนตรีหรือหากิจกรรมผ่อนที่คลายมาทำ เมื่ออยู่ต่างประเทศหากเผชิญกับความซึมเศร้าการออกกำลังกาย เดินไกลๆ หรือสำรวจที่พัก บริเวณใกล้เคียงที่พักไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร สถานีรถไฟ คลินิกหมอ ร้านขายของเป็นต้น สำหรับผมชอบเล่นไวโอลีนครับ ผมได้ใช้เวลาว่างในการฝึกซ้อม ไวโอลินตัวนี้ที่ผมเล่นเป็นไวโอลินพิเศษ เพราเพื่อนสนิทผมให้ยืมมาใช้ในการฝึกซ้อมเป็นไวโอลินซึ่งทำในปี 1972







ในหน้าหนาว อากาศจะหนาวมาก ดังนั้นคนฝรั่งเศสจะนิยมทานของว่างคือเนย เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย บางคนก็ชอบทานคู่กับไวน์ เพื่อเพิ่มรสชาติและยิ่งทำให้ร่างกายอบอุ่นด้วย แต่ถ้ามากไปก็อาจเมาได้







ผมขอเปิดห้องให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ดูแค่นี้ก่อนนะครับ ช่วงนี้อากาศที่ยุโรปหนาวมาก ใครมาเรียนแถบนี้ก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ พักผ่อนให้เยอะๆ ทานอาหารเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยกันนะครับ






อ้างอิง :: www.dek-d.com









วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

เกิดมาชีวิตหนึ่ง ได้เรียนถึง 3 ประเทศ!!

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ  วันนี้แคทจะแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักกับ นศ.แพทย์คนหนึ่ง ที่ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานั้น พี่เค้าได้เรียน ถึง 3 ประเทศเชียวค่ะ  ว่าแต่จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปฟังพี่เค้า พร้อมๆกันเลยค่ะ ^^


แนะนำตัวกันก่อน :::



สวัสดีครับ ชื่อณัฐพงศ์ ปิยะบวร ชื่อเล่นชื่อ "ไข่" ผมจบม.6 จากโรงเรียนสารวิทยา ตอนนี้มาเรียนต่อปริญญาตรีที่ปารีส ฝรั่งเศส อยู่คณะแพทยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Université de Paris XII ชั้นปีที่ 2 ครับ


เรื่องที่ผมอยากจะเล่าวันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนนี่ล่ะครับ ขอบอกว่าก่อนหน้าจะมาเรียนที่ฝรั่งเศส ผมเคยเรียนที่เยอรมันมาก่อน แต่ก็จับพลัดจับผลูได้มาเรียนที่ฝรั่งเศส จะเป็นยังไง ลองอ่านกันดูนะครับ







อยู่ดีๆ ไปเรียนที่เยอรมันได้ยังไง ?

ย้อนไปตอนนู้น ตอนแรกที่ตัดสินใจเรียนต่อต่างประเทศนั้น ผมเนี่ย...เลือกที่จะตัดสินใจที่จะเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งผมก็ได้เตรียมผลการสอบภาษาอังกฤษคือ IELTS ไว้ (ได้ 7.5 ครับ) และเตรียมที่จะดำเนินการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย แต่หลังจากได้ปรึกษากับทางบ้าน คุณพ่อก็ทักท้วงอยากจะให้ไปเรียนที่ประเทศเยอรมัน เนื่องจากว่าผมสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีอยู่แล้ว คุณพ่อบอกว่าน่าจะลองเปลี่ยนไปที่อื่นที่ใช้ภาษาที่สาม แล้วประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างยิ่ง หากจะไปศึกษาต่อวิชากฎหมาย หรือวิชาที่เกี่ยวกับข้องก็น่าจะดี แล้วหากจบไปก็อาจจะจะทำงานเป็นอาจารย์ หรือนักวิชาการหรืองานด้านที่ตัวเองถนัดได้ดีกว่าอีกด้วย




นอกจากนี้ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในยุโรป ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเยอรมันก็ถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของยุโรปด้วยเช่นเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือคุณพ่อท่านอยากให้ผมไปเรียนที่ประเทศเยอรมันมาก ซึ่งตัวผมเองก็ลังเลอยู่ เลยตัดสินใจว่าจะยื่นสมัครไปทั้ง 2 ที่พร้อมกันทั้งอังกฤษและเยอรมัน และหากที่ใดตอบกลับมาเป็นที่แรก ก็จะตัดสินใจไปที่นั่น (วัดใจๆ) ^^ และผลที่ออกมาก็คือ ประเทศเยอรมันตอบรับมาเป็นประเทศแรก โดยผมได้รับการพิจารณาเข้าศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Universität München ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันครับ







ภายในมหาวิทยาลัย Universität München




ขั้นตอนการสมัครเรียนล่ะ ?


สำหรับการสมัครเรียนนั้น ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ ESSAY เรียงความ หรือ Motivation Letter ครับ เราก็ต้องเขียนว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เราอยากเรียนคณะนี้ ผมเขียนไปว่า ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ทั้งสมัยเก่าและสมัยใหม่ เป็นแหล่งกำเนิดของนักปราชญ์ นักวิชาการ และนักดนตรี หลายแขนง เป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างมากที่จะศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูเยอรมันหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เยอรมันนำระบบต่างๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ ทั้งทางด้านกฎหมายและรัฐสภาได้อย่างลงตัว ซึ่งนักวิชาการส่วนมากมองว่านี่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด




พอได้เข้าไปเรียน ขอบอกว่า นี่แหละคือสิ่งที่ผมค้นหาอยู่ (โอ้ววว พระเจ้า) เราศึกษาทั้งภูมิหลัง ทั้งแนวความคิด ที่มาของแต่ละคน เราได้ศึกษาทุกระบบอย่างละเอียด หาข้อดี ข้อด้อย ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชาที่เราเรียนเลย เป็นการเรียนที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักวิชาการ ( ซึ่งตัวผมก็ชอบมากเหมือนกัน ! )




จุดเปลี่ยนชีวิตสู่นักเรียนแพทย์ :::


ในระหว่างที่ผมใช้ชีวิตนักศึกษาที่ประเทศเยอรมันนั้น ผมก็ได้มีโอกาสได้ศึกษาภาษาฝรั่งเศสและภาษาอิตาลี เพราะผมคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในทวีปยุโรป และจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมก็มาถึง เพื่อนของผมได้ชักชวนให้ผมไปสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในส่วนตัวผมแล้วผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าท้าทายเป็นอย่างมากใช่มั้ยครับ แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะทุ่มเทอ่านหนังสือในระยะเวลา 2 เดือนเพื่อที่จะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศสได้จนสำเร็จ และผมก็ปรึกษาทางคุณพ่อคุณแม่ว่าจะขอไปเปลี่ยนไปเรียนทางสายแพทย์ได้ไหม? คุณพ่อก็บอกว่า "จะเรียนก็แล้วแต่ลูก" ตอนนี้ผมก็เลยเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Université de Paris XII




การสอบเข้าเรียนแพทย์นั้น จะสอบประมาณช่วงสิ้นปี โดยจะต้องใช้ข้อสอบที่เรียกว่า PCEM (Première année du premier cycle d'études médicales) เนื้อหาเป็นพวกพันธุกรรม ร่างกายมนุษย์ พวกนี้อะครับ ถ้าเราสอบผ่านเกณฑ์ก็ถือว่าสอบติด ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีนักเรียนต่างชาติสอบติดเข้ามาด้วย แต่จะไม่มาก เพราะเค้าจะรับมากสุดแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ ก็คือหากมีนักศึกษาทั้งหมด 100 คน จะมีต่างชาติได้มากสุดแค่ 8 คนครับ นอกจากจะต้องสอบแล้ว ก็ต้องยื่น ESSAY ผมก็เขียนแนวๆ ว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านการแพทย์ มีการผลิตวิจัยยาเป็นอันดับหนึ่งของโลกไรเงี้ย ยอๆ เขาไปน่ะครับ อีกอย่างคือต้องใช้ผล TCF หรือสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศสด้วยนะครับ



เรียนแพทย์สนุกแค่ไหน ?


การเรียนแพทย์ในฝรั่งเศสนั้น สำหรับปีแรกๆ 80% ของเนื้อหาจะเป็นเรื่องสามัญรวมๆ ครับ ส่วนอีก 20% จะเป็นเรื่องเฉพาะทาง specific วิชาที่นักศึกษาแพทย์จะต้องรู้จัก และเข้าใจอย่างถ่องแท้นั้น คงหนีไม่พ้น 2 วิชานี้ อย่างแน่นอนคือ


1. วิชา Anatomy เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ อวัยวะของมนุษย์ ว่ามีอะไร ตรงไหน เท่าไหร่ พูดง่ายๆ ก็คือดูโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ทุกระบบ ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้นักศึกษาแพทย์ต้องปวดหัวมากกับการที่จะต้องท่องจำชื่อ อวัยวะต่างๆ โดยส่วนตัวผม ผมคิดว่าเป็นวิชาท่องจำสุดโหดที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมเคยเจอมา


2. วิชา Physiology เป็นการศึกษากลไกของร่างกายว่าร่างกายมันทำงานได้ยังไง นิ้วเราขยับได้ยังไง เรากระพริบตาได้ยัง ซึ่งวิชานี้ก็ยากเอาการเหมือนกัน


ภาษาเป็นสิ่งที่ยากสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้วิชาแพทย์ยิ่งยากเข้าไปอีก ซึ่งคำศัพท์ของภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศสไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น Cerebrum -- Cerveau หรือ liver -- foie เป็นต้น วิธีการแก้ปัญหาของผมก็คือ ผมจำคำศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเศสหมดเลยครับ


เปรียบเทียบการแพทย์ไทยและฝรั่งเศสหน่อย :::


ระบบแพทย์ของไทยและฝรั่งเศสนั้นมีข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก ถ้าเราไม่สบายจะไปหาหมอต้องโทรไปนัดหมอก่อน ผมจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้ฟังว่าเราอยู่ประเทศไทยไม่สบายนิดไม่สบายหน่อย เราก็ไปคลีนิกหมอก็สั่งยามาให้เรากิน แต่ที่ฝรั่งเศสนั้นหากเราไม่สบาย เราจะต้องโทรไปทำการนัดหมายกับหมอ ซึ่งหมอจะตรวจเราและเขียนใบสั่งยาให้เรา แล้วเราต้องนำใบสั่งยานั้นไปซื้อที่ร้านขายยา พูดง่าย ๆ คือร้านคลีนิกหมอไม่สามารถขายยาได้เอง แม้ระบบของฝรั่งเศสจะดูยุ่งยาก แต่มันเป็นกลไกซึ่งแพทย์จะไม่เลี้ยงไข้ผู้ป่วย และแพทย์จะไม่ได้เปอร์เซนต์ค่ายา และเมืองไทยเรามี 30 บาทรักษาทุกโรค ส่วนที่ฝรั่งเศสมี Carte Vitale ซึ่งเป็นเหมือนสวัสดิการรัฐ เวลารักษาก็เอาการ์ดนี้ไปยื่นก็จะได้รักษาฟรี โดยจะได้ฟรีปีละ 190 ยูโรครับ



แล้วคนเยอรมันกับฝรั่งเศสนิสัยเป็นยังไง ?


คนเยอรมันเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ช่วยเหลือ มีน้ำใจ ซึ่งรวมๆ แล้วก็มีนิสัยคล้ายๆ คนไทย แต่ต่างกันตรงที่คนเยอรมันมักมีโลกส่วนตัวที่ค่อนข้างสูง โดยส่วนตัวแล้วผม
คิดว่า ชาวเยอรมันเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีที่สุดในยุโรป
แต่ถ้าเกิดจะเปรียบเทียบคนฝรั่งเศสกับคนเยอรมันนั้น
เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบได้ค่อนข้างยาก เพราะว่าคนฝรั่งเศสแต่ละคนที่ผมรู้จักนิสัยไม่เหมือนกันเลย บางคนก็มีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือผมอย่างสุดๆ บางคนก็มีโลกส่วนตัวสูงมากๆ เลยระบุรวมไม่ได้ครับว่าคนฝรั่งเศสเป็นคนยังไง


มิวนิคกับปารีส ที่ไหนน่าอยู่กว่า ?


มิวนิคนั้นสภาพความเป็นอยู่จะมีลักษณะที่เป็นหมู่บ้านซึ่งพัฒนาแล้ว มีระบบการขนส่งมวลชนที่ดีเยี่ยม แต่สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนนั้นก็จะบ้าน ๆ ชิล ๆ ซึ่งผมชอบมาก เราสามารถใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าช้างหนีบไปห้างหรู ซึ่งพนักงานก็ยังต้องรับเราเป็นอย่างดี ถึงจะมีสภาพความเป็นหมู่บ้านก็ยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน เมืองนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างเทียบเท่าเมืองหลวง ถึงค่าครองชีพจพแพงแต่ก็ถูกกว่าเมืองหลวง(เบอร์ลิน)อยู่ดี มิวนิคเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมาก ผมจอดจักรยานทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ สี่เดือนต่อมามันก็คงอยู่อย่างนั้น

ส่วนปารีสเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยอารยธรรม ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ บ้านเมืองนั้นประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม เป็นสถานที่ที่โรแมนติคน่าท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่ด้วยค่าครองชีพอันสูงลิ่ว ความปลอดภัยก็ลดลง ขโมยกับโจรก็เยอะ ผมจอดจักรยานที่นี่ไว้ ล็อคอย่างดีคาดว่าจะไม่มีใครเอาไปได้ แต่สุดท้ายมันก็ยังงัดเอาล้อไปสองข้าง แต่โชคดีที่ปารีสนั้นมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ไปไหนได้ง่ายมาก ส่วนตัวผมแล้วผมเป็นค่อนข้างง่าย ๆ กันเอง ติดดิน ผมรู้สึกว่าการที่ผมจะอยู่ที่เมืองมิวนิคจะดีกว่า ซึ่งไม่ได้หมายความว่าปารีสนั้นไม่ดี แต่มันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของผมนั่นเอง


สุดท้ายอยากฝากน้องๆ ว่า คำว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรมของพี่ครับ หากน้องๆ มีความฝัน ก็ขอให้ตั้งเป้าหมายไว้ วางแผน แล้วทำตามแผนจนประสบผลสำเร็จ สิ่งที่สำคัญนั้นคือ เป้าหมายต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดีครับ ขอให้น้องทุกคนตั้งใจล่าฝันนั้นมาให้ได้นะครับ พี่ไข่ขอเป็นกำลังใจ และจะสู้ไปพร้อมๆ กับน้องทุกคนคับ ^^





อ้างอิง :: http://www.dek-d.com/

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องขี้ประติ๋วนั้น หากทำบ่อยๆ เป็นประจำแล้วล่ะก็ มันก็สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะจ๊ะ เหมือนกับ 7 เรื่องนี้ที่ถ้าทำบ่อยจนเกินไปก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมจนกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้นะจ๊ะ งั้นไปเริ่มต้นที่เรื่องแรกกันเลยดีกว่า.....




7 เรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ของสุขภาพ



- ไหมขัดฟัน >> การที่ไม่ยอมใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันนั้นรู้ไหมว่า จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับเหงือก และฟันไม่แข็งแรงอีกด้วย นอกจากนี้แบคทีเรียบริเวณเหงือกสามารถเข้าสู่กระแสเลือด และอาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย




- คอนแทคเลนส์ >> ก่อนนอนทุกครั้งควรที่จะถอดคอน แทคแลนส์ออกเสมอ เพราะการที่น้องๆ ชาว Dek-D.Com ไม่ยอมถอดออกนั้น จะทำให้เพิ่มการติดเชื้อที่ดวงตาถึง 10 เท่า




- หมากฝรั่ง >> การเคี้ยวหมากฝรั่งที่มีซอร์บิทอลตลอดทั้งวันนั้น จะทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือเกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นจึงควรที่จะเคี้ยวเฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น เช่น หลังทานอาหารเสร็จ เป็นต้น




- รองเท้าสันสูง >> การสวมใส่รองเท้าสันสูงไม่ว่าจะเป็นแบบสันตึก , สันเข็ม หรือแบบเตารีด เป็นประจำนั้น รู้ไหมว่าจะทำให้กระดูก กล้ามเนื้อขาและเท้า อาจจะเสื่อมก่อนวัยได้ สาเหตุมาจากน้ำหนักตัวจะไม่กระจายไปทั่วทั้งเท้า แต่จะมาลงน้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่กระดูกและข้อทางด้านหน้า



- ครีมกันแดด >> รู้กันบ้างรึเปล่าว่าการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันนั้น จะเป็นการลดจำนวนวิตามินดี ที่ร่างกายสร้างขึ้นในแต่ละวัน ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเครียด และเป็นโรคกระดูกพรุนได้




- โทรศัพท์มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือก่อนนอนนั้น จะทำให้รังสีของโทรศัพท์แผ่ออกมา เป็นสาเหตุทำให้นอนไม่หลับ ไม่สามารถหลับสนิทได้ และจะทำให้รู้สึกปวดหัวอีกด้วย ดังนั้นจึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์ก่อนนอนให้มากที่สุด เพื่อที่ร่างกายจะได้พักผ่อนให้เพียงพอนะจ๊ะ




- เครื่องสำอาง >> ควรที่จะล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนที่จะเข้านอนทุกครั้ง เพราะการนอนทั้งๆ ที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่นั้น จะทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ได้ และที่สำคัญที่สุดจะเป็นการกระตุ้นการเกิดสิวได้ ซึ่งสิ่งนี้พี่ปัดเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นบนใบหน้าอันหล่อ-สวยของตัวเองใข่ไหมจ๊ะ