วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

เกิดมาชีวิตหนึ่ง ได้เรียนถึง 3 ประเทศ!!

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ  วันนี้แคทจะแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักกับ นศ.แพทย์คนหนึ่ง ที่ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานั้น พี่เค้าได้เรียน ถึง 3 ประเทศเชียวค่ะ  ว่าแต่จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปฟังพี่เค้า พร้อมๆกันเลยค่ะ ^^


แนะนำตัวกันก่อน :::



สวัสดีครับ ชื่อณัฐพงศ์ ปิยะบวร ชื่อเล่นชื่อ "ไข่" ผมจบม.6 จากโรงเรียนสารวิทยา ตอนนี้มาเรียนต่อปริญญาตรีที่ปารีส ฝรั่งเศส อยู่คณะแพทยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Université de Paris XII ชั้นปีที่ 2 ครับ


เรื่องที่ผมอยากจะเล่าวันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนนี่ล่ะครับ ขอบอกว่าก่อนหน้าจะมาเรียนที่ฝรั่งเศส ผมเคยเรียนที่เยอรมันมาก่อน แต่ก็จับพลัดจับผลูได้มาเรียนที่ฝรั่งเศส จะเป็นยังไง ลองอ่านกันดูนะครับ







อยู่ดีๆ ไปเรียนที่เยอรมันได้ยังไง ?

ย้อนไปตอนนู้น ตอนแรกที่ตัดสินใจเรียนต่อต่างประเทศนั้น ผมเนี่ย...เลือกที่จะตัดสินใจที่จะเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งผมก็ได้เตรียมผลการสอบภาษาอังกฤษคือ IELTS ไว้ (ได้ 7.5 ครับ) และเตรียมที่จะดำเนินการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย แต่หลังจากได้ปรึกษากับทางบ้าน คุณพ่อก็ทักท้วงอยากจะให้ไปเรียนที่ประเทศเยอรมัน เนื่องจากว่าผมสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีอยู่แล้ว คุณพ่อบอกว่าน่าจะลองเปลี่ยนไปที่อื่นที่ใช้ภาษาที่สาม แล้วประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างยิ่ง หากจะไปศึกษาต่อวิชากฎหมาย หรือวิชาที่เกี่ยวกับข้องก็น่าจะดี แล้วหากจบไปก็อาจจะจะทำงานเป็นอาจารย์ หรือนักวิชาการหรืองานด้านที่ตัวเองถนัดได้ดีกว่าอีกด้วย




นอกจากนี้ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในยุโรป ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเยอรมันก็ถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของยุโรปด้วยเช่นเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือคุณพ่อท่านอยากให้ผมไปเรียนที่ประเทศเยอรมันมาก ซึ่งตัวผมเองก็ลังเลอยู่ เลยตัดสินใจว่าจะยื่นสมัครไปทั้ง 2 ที่พร้อมกันทั้งอังกฤษและเยอรมัน และหากที่ใดตอบกลับมาเป็นที่แรก ก็จะตัดสินใจไปที่นั่น (วัดใจๆ) ^^ และผลที่ออกมาก็คือ ประเทศเยอรมันตอบรับมาเป็นประเทศแรก โดยผมได้รับการพิจารณาเข้าศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Universität München ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันครับ







ภายในมหาวิทยาลัย Universität München




ขั้นตอนการสมัครเรียนล่ะ ?


สำหรับการสมัครเรียนนั้น ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ ESSAY เรียงความ หรือ Motivation Letter ครับ เราก็ต้องเขียนว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เราอยากเรียนคณะนี้ ผมเขียนไปว่า ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ทั้งสมัยเก่าและสมัยใหม่ เป็นแหล่งกำเนิดของนักปราชญ์ นักวิชาการ และนักดนตรี หลายแขนง เป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างมากที่จะศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูเยอรมันหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เยอรมันนำระบบต่างๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ ทั้งทางด้านกฎหมายและรัฐสภาได้อย่างลงตัว ซึ่งนักวิชาการส่วนมากมองว่านี่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด




พอได้เข้าไปเรียน ขอบอกว่า นี่แหละคือสิ่งที่ผมค้นหาอยู่ (โอ้ววว พระเจ้า) เราศึกษาทั้งภูมิหลัง ทั้งแนวความคิด ที่มาของแต่ละคน เราได้ศึกษาทุกระบบอย่างละเอียด หาข้อดี ข้อด้อย ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชาที่เราเรียนเลย เป็นการเรียนที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักวิชาการ ( ซึ่งตัวผมก็ชอบมากเหมือนกัน ! )




จุดเปลี่ยนชีวิตสู่นักเรียนแพทย์ :::


ในระหว่างที่ผมใช้ชีวิตนักศึกษาที่ประเทศเยอรมันนั้น ผมก็ได้มีโอกาสได้ศึกษาภาษาฝรั่งเศสและภาษาอิตาลี เพราะผมคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในทวีปยุโรป และจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมก็มาถึง เพื่อนของผมได้ชักชวนให้ผมไปสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในส่วนตัวผมแล้วผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าท้าทายเป็นอย่างมากใช่มั้ยครับ แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะทุ่มเทอ่านหนังสือในระยะเวลา 2 เดือนเพื่อที่จะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศสได้จนสำเร็จ และผมก็ปรึกษาทางคุณพ่อคุณแม่ว่าจะขอไปเปลี่ยนไปเรียนทางสายแพทย์ได้ไหม? คุณพ่อก็บอกว่า "จะเรียนก็แล้วแต่ลูก" ตอนนี้ผมก็เลยเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Université de Paris XII




การสอบเข้าเรียนแพทย์นั้น จะสอบประมาณช่วงสิ้นปี โดยจะต้องใช้ข้อสอบที่เรียกว่า PCEM (Première année du premier cycle d'études médicales) เนื้อหาเป็นพวกพันธุกรรม ร่างกายมนุษย์ พวกนี้อะครับ ถ้าเราสอบผ่านเกณฑ์ก็ถือว่าสอบติด ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีนักเรียนต่างชาติสอบติดเข้ามาด้วย แต่จะไม่มาก เพราะเค้าจะรับมากสุดแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ ก็คือหากมีนักศึกษาทั้งหมด 100 คน จะมีต่างชาติได้มากสุดแค่ 8 คนครับ นอกจากจะต้องสอบแล้ว ก็ต้องยื่น ESSAY ผมก็เขียนแนวๆ ว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านการแพทย์ มีการผลิตวิจัยยาเป็นอันดับหนึ่งของโลกไรเงี้ย ยอๆ เขาไปน่ะครับ อีกอย่างคือต้องใช้ผล TCF หรือสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศสด้วยนะครับ



เรียนแพทย์สนุกแค่ไหน ?


การเรียนแพทย์ในฝรั่งเศสนั้น สำหรับปีแรกๆ 80% ของเนื้อหาจะเป็นเรื่องสามัญรวมๆ ครับ ส่วนอีก 20% จะเป็นเรื่องเฉพาะทาง specific วิชาที่นักศึกษาแพทย์จะต้องรู้จัก และเข้าใจอย่างถ่องแท้นั้น คงหนีไม่พ้น 2 วิชานี้ อย่างแน่นอนคือ


1. วิชา Anatomy เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ อวัยวะของมนุษย์ ว่ามีอะไร ตรงไหน เท่าไหร่ พูดง่ายๆ ก็คือดูโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ทุกระบบ ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้นักศึกษาแพทย์ต้องปวดหัวมากกับการที่จะต้องท่องจำชื่อ อวัยวะต่างๆ โดยส่วนตัวผม ผมคิดว่าเป็นวิชาท่องจำสุดโหดที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมเคยเจอมา


2. วิชา Physiology เป็นการศึกษากลไกของร่างกายว่าร่างกายมันทำงานได้ยังไง นิ้วเราขยับได้ยังไง เรากระพริบตาได้ยัง ซึ่งวิชานี้ก็ยากเอาการเหมือนกัน


ภาษาเป็นสิ่งที่ยากสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้วิชาแพทย์ยิ่งยากเข้าไปอีก ซึ่งคำศัพท์ของภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศสไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น Cerebrum -- Cerveau หรือ liver -- foie เป็นต้น วิธีการแก้ปัญหาของผมก็คือ ผมจำคำศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเศสหมดเลยครับ


เปรียบเทียบการแพทย์ไทยและฝรั่งเศสหน่อย :::


ระบบแพทย์ของไทยและฝรั่งเศสนั้นมีข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก ถ้าเราไม่สบายจะไปหาหมอต้องโทรไปนัดหมอก่อน ผมจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้ฟังว่าเราอยู่ประเทศไทยไม่สบายนิดไม่สบายหน่อย เราก็ไปคลีนิกหมอก็สั่งยามาให้เรากิน แต่ที่ฝรั่งเศสนั้นหากเราไม่สบาย เราจะต้องโทรไปทำการนัดหมายกับหมอ ซึ่งหมอจะตรวจเราและเขียนใบสั่งยาให้เรา แล้วเราต้องนำใบสั่งยานั้นไปซื้อที่ร้านขายยา พูดง่าย ๆ คือร้านคลีนิกหมอไม่สามารถขายยาได้เอง แม้ระบบของฝรั่งเศสจะดูยุ่งยาก แต่มันเป็นกลไกซึ่งแพทย์จะไม่เลี้ยงไข้ผู้ป่วย และแพทย์จะไม่ได้เปอร์เซนต์ค่ายา และเมืองไทยเรามี 30 บาทรักษาทุกโรค ส่วนที่ฝรั่งเศสมี Carte Vitale ซึ่งเป็นเหมือนสวัสดิการรัฐ เวลารักษาก็เอาการ์ดนี้ไปยื่นก็จะได้รักษาฟรี โดยจะได้ฟรีปีละ 190 ยูโรครับ



แล้วคนเยอรมันกับฝรั่งเศสนิสัยเป็นยังไง ?


คนเยอรมันเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ช่วยเหลือ มีน้ำใจ ซึ่งรวมๆ แล้วก็มีนิสัยคล้ายๆ คนไทย แต่ต่างกันตรงที่คนเยอรมันมักมีโลกส่วนตัวที่ค่อนข้างสูง โดยส่วนตัวแล้วผม
คิดว่า ชาวเยอรมันเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีที่สุดในยุโรป
แต่ถ้าเกิดจะเปรียบเทียบคนฝรั่งเศสกับคนเยอรมันนั้น
เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบได้ค่อนข้างยาก เพราะว่าคนฝรั่งเศสแต่ละคนที่ผมรู้จักนิสัยไม่เหมือนกันเลย บางคนก็มีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือผมอย่างสุดๆ บางคนก็มีโลกส่วนตัวสูงมากๆ เลยระบุรวมไม่ได้ครับว่าคนฝรั่งเศสเป็นคนยังไง


มิวนิคกับปารีส ที่ไหนน่าอยู่กว่า ?


มิวนิคนั้นสภาพความเป็นอยู่จะมีลักษณะที่เป็นหมู่บ้านซึ่งพัฒนาแล้ว มีระบบการขนส่งมวลชนที่ดีเยี่ยม แต่สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนนั้นก็จะบ้าน ๆ ชิล ๆ ซึ่งผมชอบมาก เราสามารถใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าช้างหนีบไปห้างหรู ซึ่งพนักงานก็ยังต้องรับเราเป็นอย่างดี ถึงจะมีสภาพความเป็นหมู่บ้านก็ยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน เมืองนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างเทียบเท่าเมืองหลวง ถึงค่าครองชีพจพแพงแต่ก็ถูกกว่าเมืองหลวง(เบอร์ลิน)อยู่ดี มิวนิคเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมาก ผมจอดจักรยานทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ สี่เดือนต่อมามันก็คงอยู่อย่างนั้น

ส่วนปารีสเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยอารยธรรม ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ บ้านเมืองนั้นประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม เป็นสถานที่ที่โรแมนติคน่าท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่ด้วยค่าครองชีพอันสูงลิ่ว ความปลอดภัยก็ลดลง ขโมยกับโจรก็เยอะ ผมจอดจักรยานที่นี่ไว้ ล็อคอย่างดีคาดว่าจะไม่มีใครเอาไปได้ แต่สุดท้ายมันก็ยังงัดเอาล้อไปสองข้าง แต่โชคดีที่ปารีสนั้นมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ไปไหนได้ง่ายมาก ส่วนตัวผมแล้วผมเป็นค่อนข้างง่าย ๆ กันเอง ติดดิน ผมรู้สึกว่าการที่ผมจะอยู่ที่เมืองมิวนิคจะดีกว่า ซึ่งไม่ได้หมายความว่าปารีสนั้นไม่ดี แต่มันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของผมนั่นเอง


สุดท้ายอยากฝากน้องๆ ว่า คำว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรมของพี่ครับ หากน้องๆ มีความฝัน ก็ขอให้ตั้งเป้าหมายไว้ วางแผน แล้วทำตามแผนจนประสบผลสำเร็จ สิ่งที่สำคัญนั้นคือ เป้าหมายต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดีครับ ขอให้น้องทุกคนตั้งใจล่าฝันนั้นมาให้ได้นะครับ พี่ไข่ขอเป็นกำลังใจ และจะสู้ไปพร้อมๆ กับน้องทุกคนคับ ^^





อ้างอิง :: http://www.dek-d.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น